บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความรู้เกี่ยวกับภาษีเหล้าบุหรี่ที่ควรรู้

ความรู้เกี่ยวกับภาษีเหล้าบุหรี่ที่ควรรู้


 นางเบญจา หลุยเจริญ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้ (21 ส.ค.) มีมติเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าบุหรี่และสุรา โดยจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกปีละ 1.2 หมื่นล้านบาท
 ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีให้ปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตบุหรี่ซิกาแรต จากปัจจุบันที่เก็บตามมูลค่า ในอัตรา 85% ของมูลค่า ให้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 87% (เพดานสูงสุดตามกฎหมายที่จะปรับขึ้นไปได้ถึง 90%) ซึ่งจะส่งผลให้ราคาบุหรี่ขายปลีกในประเทศปรับขึ้นตามภาษีที่ปรับสูงขึ้น เช่น บุหรี่ยี่ห้อกรองทิพย์ ที่เป็นแบรนด์ยอดนิยมของโรงงานยาสูบ รัฐวิสาหกิจที่ผูกขาดการผลิตบุหรี่ในประเทศ



จะปรับภาษีขึ้นอีกซองละ 6 บาท ไมล์ด เซเว่น ภาระภาษีเพิ่มอีกซองละ 9 บาท มาร์โบโล ภาษีเพิ่มขึ้นซองละ 8 บาท และเอ็มแอล ภาษีเพิ่มขึ้นซองละ 6 บาท ทั้งนี้ การปรับเพิ่มภาษีบุหรี่นี้ จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกปีละ 1 หมื่นล้านบาท

 สำหรับสุราขาว ซึ่งเป็นสุราที่นิยมของคนในชนบท ปรับเพิ่มอัตราภาษีตามปริมาณเป็น  150 บาท/ลิตร จากปัจจุบันที่เก็บในอัตรา 120 บาท/ลิตร และสุราผสม (Blended spirit) ปรับเพิ่มเป็น 350 บาท/ลิตรจากปัจจุบันเก็บที่ 300 บาท/ลิตร โดยจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกปีละ 2 พันล้านบาท

 "ทั้งบุหรี่ไทยและต่างประเทศรวม 8 ยี่ห้อต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นซองละ 6-8 บาท คาดว่าการจัดเก็บครั้งนี้ จะส่งผลให้กรมสรรพสามิตมีรายได้จากการเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนภาษีสรรพสามิตเบียร์ อยู่ในระหว่างการศึกษาว่าจะมีการปรับเพิ่มได้อีกหรือไม่ ขณะเดียวกัน ในภาษีไวน์ไม่ได้เก็บเพิ่มเนื่องจากที่ผ่านมาเก็บเต็มเพดานแล้ว"

รัฐบาลเทงบ 380 ล้าน โหมประชานิยม
 ด้านนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 25-26 ส.ค.นี้ รัฐบาลจะจัดงาน "รัฐบาลพบประชาชน ทุนเพื่อคุณภาพชีวิต" ขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อเผยแพร่ผลงานของรัฐบาลในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา รวม 11 โครงการเพื่อให้ประชาชนเข้าใจและเข้าถึงได้โดยเฉพาะรายละเอียดของกองทุนต่างๆ ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้น เช่น กองทุนหมู่บ้าน กองทุนสุขภาพ กองทุนตั้งตัวได้ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เป็นต้น



  งานดังกล่าวจะจัดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ โดยในต่างจังหวัดใช้งบประมาณจากกระทรวงมหาดไทย 3-5 แสนบาทต่อจังหวัด และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและข้าราชการกระทรวงการคลังระดับ 9 ขึ้นไปเป็นผู้ควบคุมการจัดงาน ขณะที่ใน กทม.จัดงานที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ใช้งบประมาณ 7 ล้านบาท โดยมีนายสุรนันท์ เวชชาชีวะ เลขานุการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ควบคุมการจัดงานใน กทม.รวมงบประมาณที่ใช้ในการจัดงานครั้งนี้กว่า 380 ล้านบาท

 "ใน กทม.จะจัดงานใหญ่โดยมีนายกฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงานและมี ครม.พร้อมผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานรัฐและเอกชนร่วมเข้าร่วมพิธีเปิดงานด้วย แม้ว่าที่ผ่านมานายกฯ ได้ชี้แจงผลงานรัฐบาลผ่านรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชนเป็นประจำทุกวันเสาร์แล้ว แต่กิจกรรมนี้จะเป็นตัวเสริมให้ประชาชนในแต่ละภูมิภาคได้รับทราบและเห็นผลงานที่ชัดเจนด้วยตัวเอง รวมถึงเปิดโอกาสให้ได้มีส่วนร่วมกับนโยบายในด้านอื่นๆ ของรัฐบาลในอนาคตอีกด้วย" นายทนุศักดิ์กล่าว  

ลั่นรถคันแรกไม่จำกัดจำนวน
 นอกจากนั้น ภายในงานยังมีการจำหน่ายสินค้าธงฟ้า และการเปิดจองรถยนต์จากผู้ประกอบการที่ร่วมโครงการรถคันแรก ที่ขอย้ำว่ารัฐบาลพร้อมรับได้ทั้งหมดแม้จะมีประชาชนมาขอใช้สิทธิ์รถคันแรกเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวก็ตาม ซึ่งมากกว่า 5แสนคันรัฐบาลก็พร้อมดำเนินการต่อไป ซึ่งขอชี้แจงเพิ่มเติมว่าผู้ที่จองรถคันแรกตามเงื่อนไขแล้วต้องนำไปยื่นเอกสารต่อกรมสรรพสามิตและเมื่อรับรถแล้วต้องนำไปตรวจสอบรายละเอียด เพื่อคืนเงินตามเงื่อนไขต่อไป

 "แม้จะมียอดจองรถคันแรกเกินเป้าหมาย 5 แสนคันก็จะไม่กระทบกับสถานะทางการคลังของรัฐบาล เนื่องจากการคืนภาษีเป็นการทยอยคืนให้หลังจากที่ครอบครองรถแล้วเป็นเวลา 1 ปี"

 แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยโครงการรถคันแรกมีผู้ยื่นขอเกินงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยในปีหน้า รัฐบาลตั้งงบไว้เพียง 2 พันล้านบาท จากที่ขอไป 9,000 ล้านบาท ซึ่งหากมีผู้ขอคืนภาษีเกินกว่างบประมาณ รัฐบาลให้ไปใช้งบกลาง

 ก่อนหน้านี้ กรมสรรพสามิตระบุว่ายอดคนขอเข้าโครงการรถคันแรกประมาณ 1 แสนคัน
ต่ออายุมาตรการเว้นภาษีดีเซลอีก 1 เดือน

 นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ได้เห็นชอบให้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลต่อไปอีก 1 เดือน จากที่สิ้นสุดเดือน ส.ค.นี้ เป็นวันที่ 30 ก.ย. 2555 เพื่อช่วยลดค่าครองชีพด้านการเดินทางให้ประชาชน หลังพบว่าราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปัจจุบันยังคงมีราคาสูง

 หากปรับเพิ่มอัตราภาษีน้ำมันดีเซลในระยะนี้ จะทำให้ประชาชนมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นอีก โดยรัฐจะต้องสูญเสียรายได้จากการเก็บภาษีไปประมาณ 9,000 ล้านบาท

ดันเหล้าขึ้นราคา 10-20 บาท
 แหล่งข่าวจาก วงการผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายกลาง กล่าวว่า จากการจัดเก็บภาษีสุราในครั้งนี้ จะทำให้ภาครัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อยล้านบาท มีนัยสำคัญสำคัญ 2 ประการ คือ ต้องการชดเชยรายได้ที่สูญเสียไปจากนโยบายต่างๆ เช่น โครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก และต้องการทำให้เห็นเรื่องความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรมในช่วงที่ผ่านมา

            ขณะที่ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่กระทบ เพราะไปจัดเก็บจากสุราผสมและสุรากลั่น (เหล้าขาว) ซึ่งจะทำให้ราคาขายปรับขึ้นเฉลี่ยขวดละ 10 บาทสำหรับสุรากลั่น และเพิ่มขึ้น 15-20 บาทสำหรับสุราผสม ส่วนเรื่องการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีเชื่อว่ามาเกิดขึ้น เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวิสกี้ ที่มีการปรับภาษีไปก่อนหน้านี้แล้ว

 แหล่งข่าว ยืนยันว่าผู้ที่เสียประโยชน์และได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีสุราในครั้งนี้ คือ แบรนด์ผู้นำตลาด เช่น เบลน 285 รีเจนซี หงษ์ทอง และมังกรทอง ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น และต้องปรับราคาขายให้สูงขึ้นตามฐานภาษีใหม่

          "อย่างไรก็ตาม การปรับภาษีในช่วงนี้ อาจทำให้รัฐมีรายได้น้อย เพราะอยู่ในช่วงเข้าพรรษาเป็นช่วงที่ผู้บริโภคสุราน้อยอยู่แล้ว แต่หลังช่วงออกพรรษาจะทำให้รัฐมีรายได้มากขึ้น" แหล่งข่าวกล่าว

ที่มา http://www.bangkokbiznews.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น