บทความที่ได้รับความนิยม
-
การลงทุนเปิดร้านขายพวงมาลัยดอกไม้ พวงมาลัยดอกไม้ ทำเป็นเล่นไปนะครับกำไรดีมากครับ เเต่คนไปมองเด็กขายพวงมาลัยสี่เเยกอะไรเเบบนี้ ถ้าล...
-
การทำธุรกิจร้านขายดอกไม้ การเปิดร้านขายดอกไม้สด “ดอกไม้ 1 ช่อ มีต้นทุนค่าแรง 40 เปอร์เซ็นต์ ค่าวัสดุ 60 เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ตั้งราคาเช่น...
วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม จุดประสงค์การเรียนรู้ (ปลายทาง)
ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในความหมายและบอกประเภทของผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ระบุอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มได้ สามารถคำนวณและบันทึกบัญชีได้อย่างถูกต้อง
จุดประสงค์การเรียนรู้ (นำทาง)
1. อธิบายความหมายของภาษีมูลค่าเพิ่มได้
2. บอกประเภทของผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มได้
3. อธิบายภาษีซื้อ ภาษีขาย ฐานภาษีและอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มได้
4. บอกประเภทเอกสารและรายงานที่เกี่ยวข้องกับภาษีมูลค่าเพิ่มได้
5. คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้
6. บันทึกบัญชีเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มได้
7. ฝึกผู้เรียนให้เป็นผู้ที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อน และคนรอบข้าง
สาระสำคัญ
1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่จัดเก็บจาการขายสินค้าหรือให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการภายในประเทศ หรือมาจากต่างประเทศ โดยเก็บเฉพาะส่วนที่เป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้น
2. ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มได้แก่
2.1 ผู้ประกอบการ
2.2 ผู้นำเข้า
2.3 ผู้ที่กฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
2.4 กิจการขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักร3. ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2550) อัตรา
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระ หรือ ได้รับคืน = ภาษีขาย - ภาษีซื้อ
5. ภาษีซื้อ คือ ภาษีที่ผู้ประกอบการจ่ายให้กับผู้ขายสินค้าหรือให้บริการ ภาษีซื้อเกิดขึ้นเดือนไหน ให้ถือเป็นภาษีซื้อของเดือนนั้น
6. ภาษีขาย คือ ภาษีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ ภาษีขายเกิดขึ้นเดือนไหน ก็ให้ถือเป็นภาษีขายของเดือนนั้น
7. หน้าที่ของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ จัดทำใบกำกับภาษี รายงานเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม และยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
เนื้อหา1. ความหมายของภาษีมูลค่าเพิ่ม2. ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม3. ภาษีซื้อ ภาษีขาย ฐานภาษีและอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม4. เอกสารและรายงานที่เกี่ยวข้องกับภาษีมูลค่าเพิ่ม5. การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม6. การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม
1. ความหมายของภาษีมูลค่าเพิ่ม อรุณี อย่างธารา และคณะได้กล่าวถึงภาษีมูลค่าเพิ่มว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax หรือใช้ตัวย่อว่า VAT) คือภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนการผลิตสินค้าหรือบริการ และการจำหน่ายสินค้าหรือบริการชนิดต่าง ๆ โดยผู้ประกอบการเป็นผู้มีหน้าที่เก็บจากลูกค้า แล้วนำภาษีมูลค่าเพิ่มไปชำระให้แก่รัฐบาล ผกาพรรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ให้ความหมายภาษีมูลค่าเพิ่มว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายถึง ภาษีที่เก็บจากการขายสินค้าและบริการของผู้ผลิตสินค้า หรือผู้บริการ ผู้นำเข้า โดยจัดเก็บเฉพาะมูลค่าที่เพิ่มขึ้น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มมีขอบเขตกว้างขวาง และครอบคลุมทุกขั้นตอนในการผลิตการจำหน่ายและให้บริการ เบญจมาศ อภิสิทธิ์ภิญโญ และคณะ กล่าวถึงภาษีมูลค่าเพิ่มว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นการเก็บภาษีจากการขายสินค้าหรือการให้บริการในแต่ละขั้นตอน การผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือบริการเหล่านั้น ทั้งที่ผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ โดยส่วนที่เก็บเพิ่มนั้นเรียกว่า “มูลค่าเพิ่ม” ภาษีมูลค่าเพิ่มจึงเป็นภาษีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะทำการเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือรับบริการต่างๆ ที่เป็นคนสุดท้าย รวมถึงการเก็บภาษีทุกขั้นตอนของการผลิตหรือการขายสินค้าหรือการให้บริการ จากนั้นผู้ประกอบการจะนำภาษีที่เก็บได้ส่งให้กับสรรพากรทุกเดือน
สรุป ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคที่เป็นผู้ซื้อสินค้าทั้งที่ผลิตในประเทศและต่างประเทศหรือเป็นผู้ได้รับบริการคนสุดท้าย ผู้ประกอบการที่ไม่ใช่ผู้บริโภคคนสุดท้ายจะจ่ายภาษีซื้อ 7% ในตอนซื้อสินค้า และเรียกเก็บภาษีขาย 7% ในตอนขายสินค้า เมื่อสิ้นเดือนจะนำภาษีซื้อและภาษีขายมาหักลบกัน ผลต่าง หากภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายจะเป็น ลูกหนี้-สรรพากร หรือ ภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ จะเป็น เจ้าหนี้-สรรพากร
2. ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เชาวลีย์ พงศ์ผาติโรจน์ และ วรศักดิ์ ทุมมานนท์ กล่าวถึง ผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ไว้ว่า ภาษีมูลค่าเพิ่มที่นำมาใช้ในประเทศไทยเป็นแบบเต็มรูป คือ จะครอบคลุมทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิต การค้าส่ง และการค้าปลีก ดังนั้นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มได้แก ผู้ผลิตสินค้า ผู้ให้บริการ ผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีก ตลอดจนผู้นำเข้าสินค้าและผู้ส่งออก ไม่ว่าจะประกอบการในรูปแบบบุคคลธรรมดา คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัทจำกัด หรือนิติบุคคลใดก็ตาม ระดับรายได้เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณากำหนดผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนี้1. ผู้ประกอบการที่มีรายได้ระหว่างปีละ 600,000 ถึง 1,200,000 บาท มีสิทธิเลือกว่าจะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราร้อยละ 1.5 จากรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ หรืออัตราร้อยละ 7 โดยคำนวณภาษีที่ต้องชำระจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อก็ได้2. ผู้ประกอบการที่มีรายได้เกินกว่า 1,200,000 บาท ต้องเข้าสู่ระบบการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มโดยการไปจดทะเบียนเข้าในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการที่มีรายได้ไม่ถึงปีละ 600,000 บาท แต่ต้องการจะเข้ามาอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มก็ย่อมจะทำได้โดยขอจดทะเบียนเข้าในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะเป็นการช่วยให้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มครบวงจรและผู้ประกอบการไม่ต้องแบกภาระภาษีเองด้วยตามประมวลรัษฎากรมาตรา 82 กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ 1. ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ
เป็นปกติธุระไม่ว่าจะประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดา คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคลหรือนิติบุคคลใด ๆ หากมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน 2. ผู้นำเข้า หมายถึง ผู้ประกอบการหรือบุคคลอื่นซึ่งนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร ไม่ว่าเพื่อการใดๆ และให้ความหมายรวมถึงการนำสินค้าที่ต้องเสียอากรขาเข้า หรือที่ได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรออกจากเขตอุตสาหกรรมส่งออกโดยมิใช่เพื่อการส่งออก 3. บุคคลที่กฎหมายกำหนดเป็นกรณีพิเศษให้ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม บุคคลดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย คือ 3.1 ในกรณีที่ผู้ประกอบการอยู่นอกราชอาณาจักรและได้ขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นปกติธุระโดยมีตัวแทนอยู่ในราชอาณาจักร ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มได้แก่ตัวแทนดังกล่าว 3.2 ในกรณีขายสินค้าหรือการให้บริการที่ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ถ้าภายหลังได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าหรือโอนสิทธิในบริการนั้นไปให้กับบุคคลที่มิใช่องค์การสหประชาชาติ ทบวง การชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ สถานเอกอัครราชทูต สถานทูตสถานกงสุลใหญ่ สถานกงสุล ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ผู้รับโอนสินค้าหรือผู้รับโอนสิทธิในบริการดังกล่าว 3.3 ในกรณีสินค้านำเข้าที่จำแนกประเภทไว้ในภาคว่าด้วยของที่ได้รับยกเว้นอากรตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มถ้าภายหลังสินค้านั้นต้องเสียอากรตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ (ก) ผู้ที่มีความรับผิดตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร (ข) ผู้รับโอนสินค้า ถ้ามีการโอนสินค้าดังกล่าว 3.4 ในกรณีที่การควบกิจการเข้ากัน ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ผู้ที่ควบเข้ากันและผู้ประกอบการใหม่ 3.5 ในกรณีโอนกิจการผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ผู้โอนและผู้รับโอน 3. ภาษีซื้อ ภาษีขาย ฐานภาษีและอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม เชาวลีย์ พงศ์ผาติโรจน์ และวรศักดิ์ ทุมมานนท์ กล่าวถึงภาษีซื้อ ภาษีขาย ฐานภาษีและอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ไว้ว่า ภาษีขาย คือภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้เรียกเก็บหรือพึงเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ เมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตามฐานภาษีและอัตราภาษีที่กำหนดนอก
ที่มา http://nuntry.exteen.com/20080827/entry
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น