บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทุนสำรองระหว่างประเทศ (Foreign exchange reserves) คือ


ทุนสำรองระหว่างประเทศ (Foreign exchange reserves) คือ

สินทรัพย์ต่างประเทศที่ถือครองหรืออยู่ภายใต้การควบคุมโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศและสามารถนำออกมาใช้ประโยชน์ได้ทันทีเมื่อจำเป็น เช่น การชดเชยการขาดดุลการชำระเงินหรือใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน การแทรกแซงค่าเงินและใช้หนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้งาน



ทุนสำรองระหว่างประเทศนั้นประกอบด้วย เงินตราต่างประเทศทุกสกุล (มักนิยมสำรองเป็นเงินตราที่มีการใช้บ่อยเช่น เงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา เงินยูโร เงินปอนด์อังกฤษ เงินเยนและเงินหยวนเป็นต้น นอกจากนี้ยังมีทองคำ พันธบัตรรัฐบาล สิทธิพิเศษถอนเงิน (Special Drawing Rights : SDR) และสินทรัพย์ส่งสมทบกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เป็นต้น

หน้าที่สำคัญของทุนสำรองระหว่างประเทศคือ การรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ เสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศ แทรกแซงค่าเงินเพื่อลดความผันผวนและรักษาสมดุลของเศรษฐกิจ ไม่ให้มีความผันผวนมากเกินไป รับมือความผันจากต่างประเทศและการโจมตีค่าเงิน ในบางประเทศมีการนำทุนสำรองระหว่างประเทศหรือเงินตราต่างประเทศส่วนที่เกินต่อความจำเป็นไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อให้เกิดดอกผลเพิ่มขึ้น เช่นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของต่างประเทศ การลงทุนในทองคำ เป็นต้น แต่จะเลือกลงทุนในตลาดที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ถึงแม้ผลตอบแทนจะไม่สูงมากนักก็ตาม

หน้าที่ที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศคือ การใช้ค้ำประกันยอดการพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้งาน กล่าวคือ ยิ่งมีทุนสำรองมากก็จะสามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้งานได้มาก ซึ่งในแต่ละประเทศมีหลักเกณฑ์แตกต่างกันออกไป บางประเทศก็พิมพ์ธนบัตรออกมาเท่ากับปริมาณทุนสำรองที่มี ในขณะที่ประเทศไทยใช้หลัก 60% ซึ่งหมายถึงพิมพ์ธนบัตรออกมาเป็นปริมาณไม่เกินร้อยละ 60 ของทุนสำรองระหว่างประเทศ เนื่องจากการพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้งานโดยไม่มีหลักประกันอะไรเลยหรือพิมพ์ออกมามากเกินไป จะทำให้ความน่าเชื่อถือของธนบัตรนั้นๆลดลงด้วย

ในโลกนี้มีอยู่ประเทศเดียวที่ไม่มีทุนสำรองระหว่างประเทศก็คือประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากธนบัตรดอลล่าร์ของสหรัฐอเมริกามีความต้องการและความน่าเชื่อถือสูง จึงไม่จำเป็นต้องมีอะไรค้ำประกัน (อย่างน้อยก็ในขณะนี้)

สำหรับประเทศไทยของเรานั้น ทุนสำรองระหว่างประเทศได้รับการดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเก็บรักษาทุนสำรองเอาไว้ในรูปของเงินตราต่างประเทศ ทองคำ ตราสารหนี้ที่มีความมั่นคงสูง เงินฝากระยะสั้นในธนาคารพานิชย์

ทุนสำรองระหว่างประเทศเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทุนสำรองระหว่างประเทศในรูปของทองคำ พันธบัตรรัฐบาลต่างชาติ และตราสารหนี้ทางการเงิน มาจากการที่ธนาคารกลางเข้าไปลงทุนหรือซื้อหาเอาไว้ ส่วนเงินตราต่างประเทศนั้นเกิดจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดหรือการเกินดุลการค้า (การส่งออกมากกว่าการนำเข้า) ซึ่งจะทำให้มีเงินตราต่างประเทศส่วนเกิน สุดท้ายเงินเหล่านั้นจะถูกแลกเปลี่ยนเป็นทอดๆ จนไปถึงธนาคารแห่งประเทศไทยในที่สุด

วิธีที่เราสามารถหาเงินตราต่างประเทสเข้าประเทศได้ง่ายที่สุดวิธีหนึ่งคือการท่องเที่ยว เนื่องจากประเทศไทยของเราใช้เงินบาทเป็นสกุลเงินหลัก (เรียกได้ว่าใช้สกุลเดียว) ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยจะต้องนำเงินตราประเทศของตนมาแลกเป็นเงินบาทเพื่อจะใช้จ่ายในประเทศไทย เงินที่นักท่องเที่ยวนำมาแลกนั้นสุดท้ายก็จะถูกแลกเปลี่ยนจนถึงมือของธนาคารกลางในที่สุดดังได้กล่าวแล้วข้างต้น

เงินตราต่างประเทศนั้นจะถูกใช้ในการชำระหนี้ ชำระค่าสินค้าและบริการที่ซื้อหามาด้วยสกุลเงินต่างประเทศนั่นเอง ตัวอย่างเช่นน้ำมัน เครื่องจักรอุตสาหกรรม สินค้าต้นทุน และอื่นๆ ดังนั้นถ้าเรามีเงินตราต่างประเทศน้อยเกินไป ก็จะทำให้การซื้อสินค้าจากต่างประเทศทำได้ลำบาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและผู้ที่จำเป็นต้องใช้สินค้านำเข้ามาก

ที่มา ความรู้รอบตัว.net

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

การลงทุนเปิดร้านขายสินค้า 20 บาท

การลงทุนเปิดร้านขายสินค้า 20 บาท


ใครที่ชอบเดินตลาด คงคุ้นตากับร้านสินค้าราคา 20 บาท ที่เปิดขายกันเกลื่อนเมือง ยิ่งในยุคข้าวยากหมากแพง น้ำมันขึ้นราคาจนน่าตกใจ ใครๆ ก็อยากยื้อสตางค์ให้อยู่ในกระเป๋าไว้ได้มากที่สุด สินค้าราคาถูก ควักเงินจ่ายง่ายแบบไม่ต้องลังเล จึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับหลายคน

วันนี้ "มติชนทีวี" จะพาไปสัมผัสบรรยากาศอาณาจักรสินค้าขายส่ง-ขายปลีก ราคา 20 บาท ขนาด 9 คูหา ร้านที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในกรุงเทพฯ "9up Thailand" อ.ลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ไปหาคำตอบกันว่าทำไมสินค้า 20 บาท ถึงฮิตหนักฮิตหนา และจะเป็นช่องทางสำหรับคนที่กำลังตกงานได้อย่างไร


"ภานุวัฒน์ ณ ระนอง" เจ้าของร้าน 9up Thailand เล่าให้ฟังว่า คอนเซ็ปต์ของร้าน 20 บาท มาจากการขายสินค้าทุกอย่างราคา 20 บาท ในราคาขายปลีก แต่หากเป็นลูกค้าส่งจะขายในราคา 15 บาท ต่อสินค้าจำนวน 200 ชิ้น และหากเป็นยี่ปั๊วก็จะลดราคาให้อีก สินค้าทุกอย่างนำเข้าจากประเทศจีน ยกเว้นพลาสติกที่ดีลกับบริษัทในประเทศ

หลังเปิดดำเนินการมา 9 ปี มีลูกค้าเกือบ 1,000 ราย เป็นลูกค้าส่งกว่า 100 ราย ที่เหลือเป็นลูกค้าปลีกที่หมุนเวียนกันมาเรื่อยๆ

"ลูกค้าที่เดินทางมาซื้อไกลที่สุดเห็นจะเป็นยะลา เชียงใหม่ สมุย นครศรีธรรมราช ความจริงก็มาจากทั่วประเทศ ถามว่ามันคุ้มกับค่าน้ำมันรถลูกค้าไหม ต้องบอกว่าเป็นเรื่องการขายแบบเอาโวลุ่ม สินค้าเป็นแบบขายคล่อง ไม่ต้องอาศัยการอธิบายการเชียร์ก็ขายได้ด้วยตัวเอง ไม่เหมือนพวกเสื้อผ้าที่ลูกค้าต้องลองก่อนถึงจะซื้อ ถึงแม้ว่าจะมีกำไรน้อย แต่ก็มีเงินสดหมุนเวียนทุกวัน สินค้าที่ขายดี ได้แก่ เครื่องครัว ของเด็กเล่น อุปกรณ์ช่าง และพลาสติก"

เจ้าของร้านขายส่ง ยังบอกด้วยว่า ตอนนี้กระแสสินค้า 20 บาท มีแนวโน้มค่อนข้างดี จนทางร้านต้องเร่งเปิดแฟรนไชส์ ขายสินค้าปลีกราคา 20 บาท ในรูปแบบใกล้เคียงกับร้านสะดวกซื้อแบบเซเว่นอีเลฟเว่นหรือแฟมิลี่มาร์ท เพิ่มการตกแต่ง จัดเชลฟ์ ติดแอร์ เพื่อให้ลูกค้าหาสินค้าได้สะดวก และป้องกันสินค้าเสียหายจากการรื้อค้น ขณะนี้มีทั้งหมด 10 สาขา เน้นเปิดที่ภาคใต้เป็นหลัก ตั้งเป้าว่าปีนี้จะเปิดให้ได้ 50 สาขา

"ในร้านแฟรนไชส์จะแบ่งสินค้าเป็น 10 แผนก อาทิ แผนกเครื่องเขียน อุปกรณ์ช่าง ของเล่นเด็ก กิฟต์ช็อป สุขภัณฑ์ เครื่องแก้ว พลาสติก เบ็ดเตล็ด ฯลฯ สาขาแรกคือที่นวนคร นอกนั้นเป็นเกาะสมุย เกาะพงัน เจาะลูกค้าท้องถิ่นเป็นหลัก สาขาที่เปิดไปตอนนี้ก็ได้รับผลตอบรับดีจากคนท้องถิ่น แม้ช่วงแรกๆ หลายคนจะมองว่าเราจะขายได้ไม่นาน"

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

เครดิตบูโรมีความสำคัญอย่างไร


เครดิตบูโรมีความสำคัญอย่างไร

เครดิตบูโรคืออะไร
Credit Bureau นั้นมีหน้าที่รวบรวมข้อมูลประวัติการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิตของบุคคลจากสถาบันการเงินหลายๆ แห่ง เช่น ธนาคารพาณิชย์ หรือผู้ให้บริการสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิต โดยเมื่อลูกค้าให้ความยินยอมให้สถาบันการเงินตรวจสอบข้อมูลการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิตของตนในขณะที่ยื่นขอสินเชื่อแล้วนั้น สถาบันการเงินก็สามารถจะเรียกดูข้อมูลดังกล่าวจาก Credit Bureau เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้

รายงานข้อมูลเครดิตเก็บข้อมูลใดไว้บ้าง
เครดิตบูโรจะเก็บรวบรวมเฉพาะข้อมูลของการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิต ซึ่งข้อมูลนี้จะประกอบไปด้วย ข้อมูลส่วนที่บ่งชี้ตัวบุคคล เช่น ชื่อ ทีอยู่ เลขประจำตัวประชาชน และอีกส่วนหนึ่งเป็นประวัติการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิต รวมเรียกว่า "รายงานข้อมูลเครดิต" ค่ะ รายงานข้อมูลเครดิตจะมีการบันทึกและจัดเก็บวงเงินยอดหนี้คงค้าง รวมถึงประวัติการผิดนัดชำระในแต่ละสิ้นเดือนย้อนหลังไม่เกิน 36 เดือน ด้วยเหตุนี้แล้ว การชำระสินเชื่อทุกครั้งให้ตรงเวลาจึงเป็นการรักษาเครดิตที่ดีที่สุด

ประโยชน์จากการจัดเก็บข้อมูล
การให้สินเชื่อของสถาบันการเงินนั้นมีหลักสำคัญอยู่ที่ว่า ต้องรู้จักลูกค้าให้ดีพอ ในกรณีที่ผู้ขอสินเชื่อไม่เคยมีประวัติสินเชื่อกับสถาบันการเงิน โอกาสที่จะได้รับสินเชื่อย่อมมีน้อยลง แต่ด้วยการเปิดเผยข้อมูลเครดิตจะทำให้สถาบันการเงินสามารถรู้จักวินัยทางการเงินของผู้ขอสินเชื่อได้จากรายงานข้อมูลดังกล่าว เป็นอย่างดี ดังนั้นหากผู้ขอสินเชื่อมีประวัิติการชำระที่ดี การเปิดเผยข้อมูลเครดิตก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อด้วยนะค่ะ อย่างไรก็ดีการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินยังมีองค์ประกอบอื่นที่นำมาพิจารณาร่วมด้วย เช่น รายได้ และหลักประกัน ของผู้กู้



ใครมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาดูรายงานข้อมูลเครดิต
นอกจากสถาบันการเงินที่ผู้ขอสินเชื่อได้ให้ความยินยอม จะสามารถเรียกดูรายงานข้อมูลเครดิตเพื่อการวิเคราะห์สินเชื่อได้แล้ว ผู้ขอสินเชื่อเองก็ยังมีสิทธิ์ที่จะมาขอดูรายงานข้อมูลเครดิตของตนได้ด้วยวิธีง่าย ๆ โดยการยื่นคำขอได้ที่ส่วนบริหารข้อมูลผู้บริโภค บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ และบริษัทยังได้อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น โดยให้ยื่นคำขอผ่านธนาคารนครหลวงไทยทุกแห่งทั่วประเทศก็ได้ มีค่าธรรมเนียม 200 บาท ค่ะ (ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 50 ค่าธรรมเนียมลดเหลือ 100 บาท) ทั้งนี้บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติมีหน้าที่เก็บรักษารายงานดังกล่าวเป็นความลับ และไม่สามารถเปิดเผยให้แก่ผู้อื่นใด เว้นแต่ที่กฎหมายกำหนดไว้ 

การรักษาความลับ
นอกจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติจะมีหน้าที่ในการเปิดเผยข้อมูลเครดิตเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบหนึ่งในการพิจารณาสินเชื่อแล้วนั้น บริษัทยังมีหน้าที่ในการรักษาความลับของข้อมูลด้วยนะคะ โดยบริษัทจะเปิดเผยรายงานข้อมูลเครดิตให้แก่สถาบันการเงินที่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์สินเชื่อเท่านั้นค่ะ นอกจากนี้แล้วบริษัทยังมีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลอย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้ข้อมูลถูกทำลาย หรือถูกแก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย ดังนั้นคุณผู้ฟังก็มั่นใจได้เลยว่า ข้อมูลเครดิตของคุณผู้ฟังจะไม่ถูกนำไปเปิดเผยในทางอื่นใด

การติดแบล็กลิส (Black List)
ท่านคงจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า ไม่ได้รับสินเชื่อเพราะติดแบล็กลิสจากเครดิตบูโรใช่ไหม จริงๆ แล้ว เครดิตบูโรไม่มีสิทธิ์ในการจัดแบล็กลิสผู้ขอสินเชื่อ เพราะเครดิตบูโรจะทำหน้าที่รวบรวมประวัติการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิตของสินเชื่อทุกบัญชีจากสถาบันการเงินตามข้อเท็จจริง ซึ่งสถาบันการเงินใช้ข้อมูลเครดิตเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการพิจารณาสินเชื่อ เพราะการตัดสินใจว่าจะให้หรือไม่ให้สินเชื่อนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น รายได้ของผู้สมัครสินเชื่อ หลักประกัน บุคคลผู้ค้ำประกัน เป็นต้นค่ะ ในทางกลับกัน หากผู้ขอสินเชื่อมีประวัติการชำระสินเชื่อตรงเวลา ข้อมูลเครดิตก็จะมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

รายงานข้อมูลเครดิต=รายงานผลการศึกษา
ท่านอาจเคยสงสัยว่า เหตุใดเมื่อผู้ขอสินเชื่อได้ชำระสินเชื่อที่เคยผิดนัดชำระไปเรียบร้อยแล้ว ประวัติการผิดนัดชำระยังปรากฏอยู่ในรายงานข้อมูลเครดิตอีก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าข้อมูลเครดิตถูกเก็บเป็นประวัติคล้ายกับรายงานผลการศึกษา โดยการชำระหนี้ก็เหมือนผลการเรียน ที่จะได้ดีหรือไม่ อย่างไร ก็จะบันทึกตามข้อเท็จจริง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นหากต้องการแก้ไขให้มีประวัติชำระที่ดีขึ้น ก็ต้องชำระหน้าที่ค้างไว้ให้เสร็จสิ้น เพราะจะเป็นเหมือนการสอบซ่อมเพื่อให้มีผลการเรียนเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการมีวินัยและความตั้งใจที่ดีนั่นเอง แต่ทางที่ดีที่สุด ก็คือการไปชำระหนี้ให้ครบถ้วนและตรงเวลาทุกครั้ง

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

ลงทุนเปิดร้านขายโจ๊ก

ลงทุนเปิดร้านขายโจ๊ก


ปัจจุบันอาหารมื้อเช้าเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ของคนทำงานหนีไม่พ้นต้อง ซื้อŽ  และส่วนใหญ่ก็เป็นพวกปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ ขนมปังแซนด์วิช รวมถึงโจ๊ก เพราะกินง่าย สะดวก ให้พลังงานสูง และราคาไม่แพง ดังนั้น หากใครทำเมนูเหล่านี้อร่อย ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้อย่างแน่นอน



               โจ๊กŽ อาหารที่เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย ลงทุนไม่มาก ขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก ขายได้ทุกช่วงเวลา แถมกำไรดี

ซึ่งผู้ที่จะมาถ่ายทอดเนื้อหารายละเอียดทั้งหมดคือคุณสิรินญา  วัฒนเจริญชัย หรืออาจารย์ดา วิทยากรสอนอาชีพวิชา โจ๊กฮ่องกงและโจ๊กหมูŽ ประจำ ศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชนž

               อาจารย์ดาคลุกคลีอยู่ในวงการอาหารประเภทก๋วยเตี๋ยวเป็ดและโจ๊กมาร่วม 10 ปี  ซึ่งก่อนหน้านี้เธอขายอยู่ที่ซอยเซนต์หลุยส์ ชื่อเสียงโด่งดัง  แต่ภายหลังมีปัญหาเรื่องสถานที่ จึงตัดสินใจย้ายมาตั้งหลักบริเวณสวนหลวง ร.9 ซึ่งกิจการไปได้ด้วยดี  แต่แล้วทำเลที่ขายหมดสัญญาเช่า และมีปัญหาไม่สามารถต่อสัญญาได้จึงตัดสินใจปิด ปัจจุบันไปเปิดหน้าร้านใหม่อยู่ที่ชั้นใต้ดินห้างสรรพสินค้าเสรีเซ็นเตอร์ ถนนศรีนครินทร์

               ต่อมาได้เข้ามาสอนอาชีพที่ ศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชนž ราวปี2543 เริ่มจากก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋นและเป็ดพะโล้  ต่อมาเพิ่มเป็นโจ๊กหมูโจ๊กฮ่องกง ลูกชิ้นปลาสูตรโบราณ และผัดไทย ฯลฯ  ซึ่งแต่ละวิชาที่สอนนั้นจะถ่ายทอดความรู้เทคนิค เคล็ดลับ ให้ลูกศิษย์ชนิดหมดเปลือก ไม่มีหวงวิชา
             
เปิดร้านโจ๊กใช้เงินทุน 20,000
ได้อุปกรณ์ใหม่ยกชุด
               ผู้เชี่ยวชาญเมนูโจ๊กกล่าวว่า โจ๊กเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น  เนื่องจากกินง่าย รสชาติกลมกล่อม มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย เหมาะกับคนทุกวัย  ดังนั้น ในสภาวะที่คนส่วนใหญ่หันมารักษาสุขภาพ ผู้ประกอบการก็ควรจำหน่ายสินค้าให้สอดรับกับความต้องการนี้

               สำหรับผู้ที่สนใจขายโจ๊ก ปัจจุบันมีแฟรนไชส์หลายแห่งเปิดให้เข้าร่วมลงทุน แต่ล้วนใช้เงินหลักแสน  ถามผู้รู้ว่าสมควรหรือไม่วิทยากรเผยว่าเงินลงทุนหลักแสนนั้นถือว่ามากเกินความจำเป็น  ยิ่งท่ามกลางเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ควรนำเงินไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดซึ่งหากลงทุนขายโจ๊กเอง จะใช้เงินระหว่าง 15,000-20,000 บาทเท่านั้นก็สามารถเริ่มกิจการได้

               อาจารย์ดาให้ข้อคิดว่า แฟรนไชส์ร้านโจ๊กส่วนใหญ่ใช้เงินลงทุนสูงไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท  แต่ข้อดีคือ ได้ความสำเร็จรูป และมีผู้แนะแนวทางทุกอย่าง  แต่หากใครสนใจขายเอง ยืนยันว่าสามารถทำได้ ไม่ลำบากอย่างที่คิดŽด้วยจำนวนเงินลงทุน 20,000 บาท จะได้อุปกรณ์ใหม่ครบชุด
             
หัวใจสำคัญอยู่ที่ หมูŽ
เมนูนี้กำไรเท่าตัว
               เหตุใดต้องมีหม้อและกระบวยถึง 3 ใบ  วิทยากรบอกว่า หม้อแขกเบอร์ 45 ไว้สำหรับต้มข้าว ส่วนเบอร์ 16 ไว้สำหรับต้มน้ำซุป และหม้อด้ามเดียวไว้ทำโจ๊ก  ซึ่งกรรมวิธีการทำแต่ละครั้งต้องใช้เวลาปรุงถึง 3 ชั่วโมง  แต่ทว่าอาจารย์ดามีเทคนิคประหยัดเวลาให้เหลือเพียง1 ชั่วโมงเท่านั้น ดังนี้

               หม้อเบอร์ใหญ่สุดใช้ต้มข้าว  โดยนำปลายข้าวสารหอมมะลิกลางปีมาเคี่ยวในน้ำเดือดจนปลายข้าวบาน ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีต้มน้ำซุปที่มีส่วนผสมของกระดูกเอียเล้งและกระเพาะหมูจนสุก ใช้เวลา1 ชั่วโมงครึ่ง  ตักข้าวที่ต้มสุกแล้วผสมกับน้ำซุป ปรุงเป็นโจ๊กภายในหม้อด้ามเดียว  หากอยากประหยัดเวลาต้มข้าว ให้นำปลายข้าวไปแช่น้ำสะอาด 2 ชั่วโมง จากนั้นนำไปปั่นให้แหลกพอประมาณ แล้วเทลงต้มในน้ำเดือด หมั่นคนบ่อยๆ  วิธีนี้จะช่วยให้ข้าวสุกเร็วขึ้นŽ

               สำหรับหม้อเบอร์ 45 นั้นสามารถหุงปลายข้าวหอมมะลิได้เต็มที่ครั้งละ 3 กิโลกรัม  หม้อเบอร์ 16 ต้มกระเพาะหมูและกระดูกเอียเล้งอย่างละ 1 กิโลกรัม  และสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของโจ๊กอยู่ที่เนื้อหมูสับผู้เชี่ยวชาญบอกว่าควรเลือกเนื้อหมูบริเวณสะโพกเพราะเนื้อนิ่ม  และที่สำคัญต้องผ่านการบดละเอียด 2 ครั้ง  จากนั้นหมักด้วยไข่ไก่ ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย ผงชูรส ผงปรุงรส พริกไทยป่น น้ำมันหอย เกลือป่นและหมูเด้ง นำไปคลุกเคล้าในถังไม้ จากนั้นฟาดไปฟาดมาราวครึ่งชั่วโมง จะได้หมูที่นุ่มและรสชาติดี

               ด้านราคาของวัตถุดิบสำหรับปลายข้าวหอมมะลิเฉลี่ยกิโลกรัมละ 25 บาท  เนื้อหมูบริเวณสะโพกกิโลกรัมละ 100-120 บาท  กระเพาะหมูกิโลกรัมละ 100 บาท  ตับหมูกิโลกรัมละ 100 บาท  ไข่ไก่เบอร์ 3 แผงละ 70 บาท (30 ฟอง)  ซีอิ๊วขาวสูตร 5 ขวดละ 12 บาทส่วนต้นหอม ผักชี ขิง ขึ้นอยู่กับฤดูกาล

               ข้าว 3 กิโลกรัมต่อเนื้อหมูบด 2 กิโลกรัม กระเพาะหมู 1 กิโลกรัม ตับหมู 1 กิโลกรัม  ตักชามขนาด 8 นิ้วได้ประมาณ 90-100 ชามขายราคาชามละ 20 บาท เบ็ดเสร็จกำไรเท่าตัวŽ วิทยากรว่าอย่างนั้น

               สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการลงมือปรุงโจ๊กนั่นคือ โจ๊กไหม้  ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า สาเหตุสำคัญอยู่ที่ความชะล่าใจ ปล่อยให้ข้าวสุกเองโดยไม่หมั่นคน อีกทั้งยังเปิดไฟแรงเกินไป  ดังนั้น เวลาต้มข้าวต้องยอมเสียเวลาคอยคนจนกว่าข้าวจะสุก  แต่ทว่ามีเคล็ดลับคือ เมื่อข้าวสุกจะลอยตัวขึ้นมา ระหว่างนั้นหรี่ไฟลงให้อ่อนที่สุด ซึ่งวัตถุดิบทั้งหมดสามารถเตรียมไว้ล่วงหน้าได้

               หากจะขายโจ๊กในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น ควรเตรียมวัตถุดิบตั้งแต่หัวค่ำ ด้วยการนำข้าวและน้ำซุปที่ต้มเรียบร้อยแล้วเก็บใส่ตู้เย็น เวลาจะใช้ให้นำไปอุ่น  ส่วนหมูสับไม่ควรปรุงสุกล่วงหน้าเพราะจะแข็งและเสียรสชาติŽ

               หากในกรณีผู้ประกอบการอยู่ท่ามกลางลูกค้ามีระดับ ชื่นชอบภาชนะสวยหรู อาจารย์ดาแนะนำว่า ควรเลือกใช้ชามกระเบื้องและช้อนสั้นเมลามีน เพราะจะช่วยยกระดับสินค้าและราคาจำหน่าย แต่ทว่าต้นทุนก็จะสูงขึ้นตามลำดับ  สำหรับช่วงเวลาจำหน่าย แนะนำให้เปิดร้านช่วงเช้า ตั้งแต่ 06.00 น. และช่วงเย็นตั้งแต่ 16.00 น. เป็นต้นไปและขายคู่กับปาท่องโก๋ เนื่องจากเป็นเครื่องเคียงที่ใช้กินคู่กับโจ๊ก

               อย่างไรก็ตาม การคืนทุนของอาชีพค้าขาย สิ่งสำคัญคือทำเลหากอยู่ในย่านชุมชน ตลาดสด สถานศึกษา โรงพยาบาล ป้ายรถประจำทาง ตลาดนัด ศูนย์การค้า ยืนยันว่าถอนทุนคืนได้ในระยะเวลาเพียงเดือนเดียว
               จากข้อมูลที่ระบุมา ผู้ที่สนใจขายโจ๊กคงจะทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการเปิดร้านพอสังเขป  แต่หากยังมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม สามารถติดต่ออาจารย์ดาได้ ซึ่งท่านเต็มใจและยินดีให้คำปรึกษา เบอร์โทรศัพท์ 08-5133-8363 หรือติดต่อเข้ามาได้ที่ ศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชนž

เคล็ดลับจากครู

วิธีหุงข้าวแบบเร็ว
               1. นำปลายข้าวหอมมะลิหรือข้าวหอมมะลิมาแช่น้ำทิ้งไว้ 2-3ชั่วโมง
               2. นำข้าวสารที่ผ่านการแช่น้ำแล้วไปปั่นพอประมาณ  จากนั้นต้มน้ำให้เดือด นำข้าวใส่ลงทีละน้อย คนไปมาจนกว่าจะสุก ใช้เวลาประมาณ 30 นาที  สังเกตเวลาข้าวสุกจะลอยอืดขึ้นมา (หรือใช้ช้อนตักชิม)
             
วิธีการปรุงโจ๊ก
               1. เมื่อข้าวสุกได้ที่ และน้ำซุปเดือดแล้ว ให้ตักขึ้นมาในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน โดยให้เนื้อข้าวมากกว่าน้ำซุป  จากนั้นนำมาคนให้เข้ากันในหม้อด้ามเดียว
               2. ใส่หมูบดลงก่อน จนกระทั่งสุก ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว เทลงใส่ชาม  นำกระเพาะหมู ไส้หมู ตับที่ลวกหั่นเป็นชิ้นแล้ววางบนหน้า
               3. โรยด้วยต้นหอม ผักชี ขิงซอย และพริกไทย
             
การเตรียมเครื่องปรุง
               เนื้อหมูบด - ให้ซื้อหมูที่ผ่านการบด 2 ครั้ง หรือสับเองอย่างละเอียด  จากนั้นนำมาหมักด้วยไข่ไก่ ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย ผงชูรสผงปรุงรส พริกไทยป่น น้ำมันหอย เกลือป่น หมูเด้ง ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง
               ตับหมู - ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นบางๆ พอดีคำ ผสมกับเกลือป่น ผงชูรส
               กระเพาะหมู ไส้หมู - ล้างให้สะอาด นำไปต้มในหม้อขณะที่น้ำเดือดพล่าน จากนั้นใส่กระดูก เอียเล้ง คาตั๊ง ปรุงด้วยเกลือป่นเล็กน้อย ต้มไปจนกว่าจะสุก ใช้เวลาเฉลี่ย 1 ชั่วโมง  เมื่อเปื่อยได้ที่ นำมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำเตรียมไว้
               ขิง - หั่นหรือซอยเป็นเส้นฝอยๆ
               ต้นหอม ผักชี - หั่นละเอียดไว้สำหรับโรยหน้า

- http://www.matichon.co.th

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

เงินบาทแข็งค่าขึ้นเกิดจากอะไร


ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น

        เงินบาทนั้นแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีพ.ศ. 2549 จากระดับ 42 บาทต่อ 1 ดอลลาร์มาเป็น 37 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ในขณะนี้คือแข็งค่าขึ้นมากถึง 12% หรือเกือบ 1% ต่อเดือน ซึ่งในระยะหลังนี้จะไปโทษว่าเงินดอลลาร์อ่อนก็จะไม่ถูกนัก เพราะค่าเงินดอลลาร์นั้นมีเสถียรภาพหรือปรับตัวขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ คือเงินเยนและเงินยูโร

        ดังนั้น จึงต้องมองได้ว่าค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น น่าจะสืบเนื่องมาจาก ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยเป็นหลักมากกว่า ทั้งนี้ อาจมีปัจจัยภายนอกปัจจัยหนึ่งคือ การแข็งค่าของเงินหยวนซึ่งเป็นผลมาจากการที่จีนเกินดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับสหรัฐอเมริกาประกอบกับการที่จีนค่อยๆ ปล่อยให้เงินหยวนถูกกำหนดค่าโดยกลไกตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ

        เมื่อเงินหยวนแข็งค่าขึ้นเงินบาทและเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียเป็นคู่แข่งกับจีนจึงแข็งค่าขึ้นตามเงินหยวนไปด้วย ทั้งนี้ เงินหยวนนั้นมีนัยว่าจะแข็งค่าขึ้นไปได้อีก 3-5% ภายใน 6-12 เดือนข้างหน้าตามการคาดการณ์ของเมอร์ริล ลินช์ ดังนั้น เงินบาทจึงมีโอกาสที่จะแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย


 ปัจจัยภายในประเทศไทย
1. การส่งออกที่ขยายตัวดีเกินคาด กล่าวคือการส่งออกปีนี้ยังขยายตัวได้ในอัตราสูงเกือบ 17% ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา และตัวเลขล่าสุดคือเดือนกันยายนนั้น การส่งออกขยายตัวสูงถึง 15% ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดแล้ว โดยภัทรได้เคยคาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยในครึ่งหลังของปีนี้น่าจะขยายตัวไม่เกิน 10% เมื่อการส่งออกขยายตัวดีเกินคาดไปประมาณ 5-6% ก็หมายความว่าประเทศไทยมีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ เพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 1,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากพอที่จะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

2. การนำเข้าที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด คือแทนที่การนำเข้าจะขยายตัวประมาณ 15-20% ในปีนี้ การนำเข้าขยายตัวเพียง 5-10% เท่านั้น ส่วนต่างดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าการใช้เงินตราต่างประเทศของไทยต่ำกว่า "เป้า" เดือนละ 1,000-1,500 ล้านดอลลาร์ สาเหตุที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการนำเข้าจะขยายตัวมากก็สืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะอยู่ระดับสูง แต่ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมากลับปรับลดลงถึง 25%

3.ดุลบริการที่เกินดุล การท่องเที่ยวของไทยในปีนี้โดยรวมนั้นเป็นไปด้วยดี ทำให้มูลค่าการเกินดุลบริการนั้นมีความต่อเนื่อง และการเกินดุลบริการนั้นมีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนถึง 300-400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ประเทศไทย เกินดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 3 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว

4. เงินทุนไหลเข้าประเทศสุทธิ ติดต่อกันมาเกือบ 10 ไตรมาส (หรือ 2 ปีครึ่ง) แล้ว ซึ่งการไหลเข้าสุทธินั้นอยู่ในระดับเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 15 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งผมเชื่อว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาประเทศไทยนั้น ก็คืออัตราดอกเบี้ยของไทยที่อยู่ที่ระดับสูงโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับลดลงอย่างมากในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา คือเมื่อกลางปีเงินเฟ้อสูงกว่า 6% แต่ในเดือนกันยายนนั้นลดลงเหลือต่ำกว่า 3%

5. ธนาคารแห่งประเทศไทยยังเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาท อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันมิให้เงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป เห็นได้จากการที่ประเทศไทยมีทุนสำรองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้าไปแทรกแซงโดยการขายเงินบาทเข้าไปในตลาดเพื่อซื้อเงินดอลลาร์มากักตุนเอาไว้ ทั้งนี้ การขายบาทย่อมจะทำให้ปริมาณบาทในระบบเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงนั่นเอง แต่การเข้าไปแทรกแซงดังกล่าวย่อมทำให้เชื่อได้ว่าหากธนาคารแห่งประเทศไทยไม่เข้าไปแทรกแซงเงินบาทจะแข็งค่ามากขึ้นไปอีก จึงทำให้เกิดความต้องการที่จะเก็งกำไรค่าเงินบาท

        กล่าวคือหากนักเก็งกำไรเห็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ยังพยายามกดค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีขณะที่การนำเข้าขยายตัวต่ำและมีการตรึงดอกเบี้ยเอาไว้ที่ระดับสูง ก็จะทำให้รู้สึกว่ามีการเข้ามาลงทุนในเงินบาทนั้น มีความเสี่ยงต่ำที่เงินจะเสื่อมค่าลง แต่มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น

        แต่ในที่สุดแล้ว ก็จะมีความเป็นไปได้สูงว่าการไหลเข้าของเงินทุน จะเสริมให้เงินบาทแข็งค่ามากเกินไป (overshoot) ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกเริ่มฝืดเคือง แต่การนำเข้าขยายตัวสูงขึ้น ส่งผลให้การส่งออกเริ่มฝืดเคือง แต่การนำเข้าขยายตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยเกินดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดน้อยลง และในที่สุด เงินบาทก็จะอ่อนค่าอย่างไรก็ตาม สภาวะนี้น่าจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้


 ผลสะท้อนของเงินบาทแข็งค่า

        การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมานี้ ส่วนหนึ่งน่าจะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค ทั้งนี้ ในวัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้นนั้น การแข็งค่าของเงินบาทน่าจะถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ปรกติ

        โดยค่าเงินที่แข็งขึ้น จะช่วยลดความร้อนแรงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งช่วยให้รักษาเสถียรภาพของอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทางการจะต้องดูแลคือ การป้องกันมิให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป จนทำให้เกิดการเก็งกำไรทั้งในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและในตลาดทุน (เช่น หากนักลงทุนต่างชาติคาดว่า ทั้งเงินบาทและดัชนีหุ้นไทยจะยังปรับตัวขึ้นได้อีก ก็อาจจะนำเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะทำให้ทั้งค่าเงินและดัชนีหุ้นปรับตัวสูงขึ้นไปอีกอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมีข่าวหรือปัจจัยลบมากระทบ หรือเมื่อเกิดการขายทำกำไร นักลงทุนก็อาจจะตื่นตระหนกและเทขายทั้งหุ้นและเงินบาทออกมาอย่างรวดเร็ว จนนำมาสู่ความผันผวนอย่างรุนแรงได้)

        ดังนั้น แม้ว่าการแข็งค่าของเงินบาท จะถือได้ว่าเป็นสันญาณบวกสำคัญอย่างหนึ่งของเศรษฐกิจ ที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่สดใสของนักลงทุน แต่การรักษาเสถียรภาพของค่าเงินมิให้ปรับตัวรวดเร็วเกินไปก็ยังคงเป็นสิ่งที่เหมาะสม เนื่องจากหากปล่อยไว้ก็อาจนำมาสู่การเก็งกำไรและภาวะฟองสบู่ที่ขาดเสถียรภาพได้

 เงินบาทแข็งค่า มีผลดีและผลเสียต่อผู้ประกอบการอย่างไร

 กรณีผู้ส่งออก
        ผลเสีย คือ ขาดทุน หรือขาดทุนกำไร ยกตัวอย่างเช่น คุณต้องการส่งออกปากกา 1 แท่ง ในราคาแท่งละ 35 บาท ซึ่งเมื่อเทียบเป็นเงินดอลล่าห์ ในขณะคำนวณจะเท่ากับ 1 ดอลล่าห์ ก็คือ คุณจะขายปากกาแท่งนั้นในราคา 1 ดอลล่าห์ (สมมติว่าเป็น CIF คือราคารวมประกันและขนส่งแล้ว) กำหนดการชำระเงิน 90 วัน ดังนั้น หลังจากที่คุณส่งปากกาออกไปในราคา 1 เหรียญดอลล่าห์วันนี้ อีก 90 วันถัดมา หลังจากคุณได้รับชำระเงินมา 1 เหรียญ แต่ดอลร่าห์อ่อน บาทแข็งอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลล่าห์ เท่ากับคุณได้รับเงินค่าปากกาในราคา 32 บาทต่อด้ามเท่านั้นเอง ขาดทุนเห็น ๆ 3 บาท ถ้าคุณส่งออกไปมูลค่า 1 แสนเหรียญ คุณจะขาดทุนเห็น ๆ 3 แสนบาท

 กรณีผู้นำเข้า
        ก็จะกลับกันกับด้านผู้ส่งออก คือ คุณจะได้กำไรจากการนำเข้าแทน คือคุณจะใช้เงินบาทน้อยลงในการแลกเปลี่ยนเป็นดอลล่าห์เพื่อชำระค่าสินค้า หรือเครื่องจักรที่นำเข้าจากต่างประเทศ

        ซึ่งทั้งสองกรณีมีผลต่อต้นทุนการประกอบการ และหากคุณเป็นผู้ส่งออกและต้องการป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว ก็อาจจะทำได้ หลายวิธีเช่น ซื้อ Option ทำ forward หรือแม้แต่การการซื้อขายเป็นเงินบาท แต่ข้อดีข้อเสียคงต้องปรึกษา exim bank

 ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า

1. ลดดอกเบี้ยลงสัก 1.0 ถึง 1.5 เปอร์เซ็นต์ โดยการลดดอกเบี้ยนโยบายและควรจะลดทีเดียวไม่ควรจะลดทีละ 0.25 เปอร์เซ็นต์ เพราะการค่อยๆ ลดจะทำให้ไม่เกิดผล และเกิดการคาดการณ์ต่อไปและต้องใช้เวลานานกว่าจะถึงอัตราเป้าหมาย เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว

2. พร้อมๆ กับการลดดอกเบี้ย ทางการก็เข้าแทรกแซงตลาด และต้องทำให้พอจนเงินบาทอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ถ้าทำครึ่งๆ กลางๆ เงินบาทแข็งต่อไป ธปท.ก็จะขาดทุน ถ้าทำจนบาทอ่อนตัวลงได้ ธปท.ก็จะกำไร ถ้าอ่อนตัวลงได้ถึง 38 บาทต่อดอลลาร์ ก็จะล้างขาดทุนเก่าออกได้หมด

3. การออกพันธบัตร เมื่อออกมาแทรกแซงตลาด เงินบาทในตลาดก็จะเพิ่มขึ้นมากเกิน ธปท.ก็ดูดซับเงินบาทกลับไปโดย ถ้าดอกเบี้ยเงินบาทต่ำ กว่าดอกเบี้ยดอลลาร์ ธปท.ก็ไม่ขาดทุน ดอกเบี้ยเท่ากัน ธปท.เปลี่ยนดอลลาร์ในทุนสำรองเป็นพันธบัตรซึ่งตลาดยังรับได้ แล้วถ้าตลาดพันธบัตรเกิดขึ้นได้ ก็จะเป็นผลดีกับการพัฒนาการลงทุนอีกโสตหนึ่งด้วยการลดดอกเบี้ยอย่างแรงคงจะทำให้ราคาพันธบัตรในท้องตลาดที่มีอยู่แล้วขึ้นราคา แต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงการดำเนินการดังกล่าวไม่น่าจะพาบ้านเมืองเข้าไปเสี่ยงกับอะไร เพราะเป็นการซื้อดอลลาร์ เอามาเก็บไว้ ทำให้ทุนสำรองเพิ่ม

4. จัดการบริหารหนี้ต่างประเทศของภาครัฐ อันได้แก่หนี้ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ โดยออกพันธบัตรเอาเงินบาท ใช้เงินบาทซื้อเงินดอลลาร์แล้วไปใช้หนี้คืนก่อนกำหนดอย่างน้อยสักครึ่งหนึ่ง

5. ในส่วนของเอกชน ถ้าผ่อนคลายกฎของ ธปท.ที่จะทำให้ภาคเอกชนสามารถยืมเงินบาทจากธนาคารพาณิชย์ไปใช้คืนหนี้ดอลลาร์ได้ เพราะหนี้เงินต่างประเทศเป็นหนี้ของเอกชนเสียตั้งกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ถ้า ธปท.ผ่อนคลายได้ เอกชนคงรีบเปลี่ยนหนี้ดอลลลาร์มาเป็นหนี้เงินบาทแทน เพราะจะได้กำไร เพราะตอนได้มาเงินบาทมีราคากว่า 40 บาทต่อเหรียญ ถ้าคืนหนี้ตอนนี้เงินบาทมีราคา 33 บาทต่อเหรียญ เป็นการช่วยธุรกิจเอกชนด้วย ส่วนธนาคารพาณิชย์ให้สามารถปล่อยเงินที่เหลือกองอยู่ในธนาคารด้วย เพราะ สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขณะนี้มีอยู่เพียง 85 เปอร์เซ็นต์ของยอดเงินฝากเท่านั้น ที่เอกชนถูกบังคับให้ไปกู้ต่างประเทศ เพราะกฎ ธปท.ที่ให้นับสินเชื่อของบริษัทในกลุ่มเดียวกันเป็นสินเชื่อที่ต้องจำกัดปริมาณเพื่อความมั่นคงของธนาคาร ให้สินเชื่อไม่กระจุกตัวในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากจนเกินไป

6. สุดท้ายเร่งโครงการพัฒนาต่างๆ ให้เร็วขึ้น โดยใช้เงินกู้เป็นเงินบาทในประเทศให้มากขึ้น แม้จะไม่เกิดผลทันที แต่ก็น่าจะมีผลทางจิตวิทยาว่า ประเทศยังต้องใช้เงินดอลลาร์อย่างมาก ที่สำคัญนโยบายให้คนไทยเก็บเงินดอลลาร์ได้ ให้เอาเงินออกไปซื้อหุ้นเมืองนอกได้ ไม่ควรทำตอนนี้ ไม่มีผล เพราะผู้คนกำลังคาดการณ์ว่า เงินบาทกำลังจะแข็งต่อไป มีแต่คนอยากเก็บเงินบาท จะมีผลก็ตอนที่คนคาดว่าเงินบาทจะอ่อน คนก็จะเปลี่ยนเงินบาทเป็นดอลลาร์ ถึงตอนนั้นก็จะกลายเป็นปัญหาอีก ต้องสั่งยกเลิกอีก กลายเป็นตัวทำให้บาทไม่มีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคต ถึงตอนสถานการณ์พลิกกลับอาจจะมีปัญหาได้

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

การลงทุนบอนด์ระยะสั้น


การลงทุนบอนด์ระยะสั้น

แนะลงทุนกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น รอความชัดเจนของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยต่อจากนี้ บลจ.แอสเซทพลัสส่ง “แอสเซทพลัสตราสารหนี้ทวีทรัพย์ 8” โรลโอเวอร์วันที่ 7 พ.ย.นี้ ขณะที่ บลจ.กรุงศรีส่งกองทุน “กรุงศรีตราสารหนี้ 6M43” ไอพีโอลงทุน 6 เดือนให้ผลตอบแทน 3% เปิดขายหน่วยลงทุนตั้งแต่วันนี้ถึง 12 พ.ย. 55

นางสาวฤดี ปติอารยกุล ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ.แอสเซท พลัส เปิดเผยว่า ตลาดตราสารหนี้ในช่วงที่ผ่านมาหลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ที่ 2.75% ส่งผลให้ตั้งแต่เดือน ต.ค. จนถึงต้นเดือน พ.ย. เส้นอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนใน



พันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลงตลอดทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะช่วงระยะสั้นที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปีปรับตัวลงมากประมาณ 4-13 basis points ในขณะที่พันธบัตรอายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไปปรับตัวลดลง 1-9 basis points แต่ในระหว่างทางอัตราผลตอบแทนมีการแกว่งตัวตามแรงซื้อขายที่เข้ามาในตลาด โดยนักลงทุนบางกลุ่มมีการขายพันธบัตรออกมาเนื่องจากราคาของพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่ง กอปรกับการคาดการณ์ว่าจะมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกไปลงทุนในประเทศอื่นมากขึ้น ขณะที่นักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวลงได้อีกจากภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัดตามภาวะเศรษฐกิจโลก จึงมีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาด

ด้านตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือน ต.ค.เริ่มชะลอตัว โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 3.32% ลดลงจาก 3.38% ในเดือน ก.ย.ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับ 1.83% เทียบกับ 1.89% ในเดือนกันยายน ซึ่งอัตราเงินเฟ้อเป็นปัจจัยที่นักลงทุนในตลาดตราสารหนี้จับตามองว่าอาจส่งผลต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต

“จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ตลาดตราสารหนี้ยังคงเผชิญกับภาวะความผันผวนได้ในอนาคต แม้ว่าแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงในช่วงนี้ แต่อาจมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นได้ในอนาคตทั้งจากอุปสงค์ภายในประเทศที่มีการขยายตัวต่อเนื่อง และราคาเชื้อเพลิงที่อาจปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ การเคลื่อนย้ายเงินทุนและภาวะเศรษฐกิจก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม จึงขอแนะนำนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นๆ เพื่อรอความชัดเจนของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในช่วงถัดไป” นางสาวฤดีกล่าว

นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการขายและการตลาด บลจ.แอสเซท พลัส กล่าวว่า ในวันที่ 7 พฤศจิกายนบริษัทฯ จะ Rollover กองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้ทวีทรัพย์ 8 (ASP-TFIXED8) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ที่เปิดเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา ซึ่งรอบการลงทุนนี้กองทุนจะพิจารณาลงทุนในตั๋วเงินคลัง หรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และตั๋วแลกเงินในประเทศ อายุประมาณ 4 เดือน ผลตอบแทนประมาณ 3.00% ต่อปี

ทางด้านายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.กรุงศรี จำกัด กล่าวว่า บริษัทเปิดเสนอขายกองทุนกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M43 (KFFIX6M43) อายุประมาณ 6 เดือน มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ตราสารหนี้ระยะสั้นออกโดย ธ.กรุงศรีอยุธยา จก. (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 10% ตั๋วแลกเงินออกโดย บ.อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จก. (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 15% ตราสารหนี้ EMTN ออกโดย ธ. Banco Bradesco S.A. (บราซิล) สัดส่วนการลงทุน 16% ตราสารหนี้ EMTN ออกโดย ธ. Banco Itau Unibanco S.A. (บราซิล) สัดส่วนการลงทุน 16% เงินฝาก ธ. Standard Chartered Bank (สิงคโปร์) สัดส่วนการลงทุน 20% และเงินฝากธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 23% โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 3.00% ต่อปี เสนอขายระหว่างวันที่ 6-12 พ.ย. 55 ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ธุรกิจอาหารเสริม มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร

ธุรกิจอาหารเสริม มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร

        พูดก็พูดนะครับ ธุรกิจอาหารเสริมเนี่ยผมว่ามันเหมาะกับตลาดพวกคนมีเงินเเละพวกที่ร่างกายไม่เเข็งเเรงครับ ซึ่งกลุ่มนี้ผมว่ามันเล็กๆมากๆครับ เเละราคาอาหารเสริมดีๆนี่ก็เเพงมาก สำหรับยี่ห้อดังๆอะนะครับ ของเค้าดีหรือเปล่าก็ดีนะครับ เเต่ต้นทุนกว่าครึ่งหมดไปกับค่าการตลาดมากกว่าครับ เเละ เดี๋ยวนี้คนมีความรู้มากขึ้นผมว่ายากที่จะขายเเล้วรวยเพราะอย่างที่เรารู้กันคุณกินอาหาร เปลี่ยนเรื่อยๆ เเละเพิ่ม นมกับผลไม้ เเละออกกำลังกายอยู่บ้านนิดหน่อยวิดพื้น ฟิตอัพ วิ่งเยอะๆ ซักหน่อยเเค่นี้อาหารเสริมก็ไม่จำเป็นเเล้วหละครับ



เเต่เรามาดูจุดเเข็งจุดอ่อนธุรกิจนี้กันครับ


S : จุดแข็ง

1.ตลาดสุขภาพมีกำลังซื้อสูงมากและไม่ถูกกระทบกับภาวะเศรษฐกิจภายนอก เรียกได้ว่า จะจนจะรวยวยังไง เศรษฐกิจจะแย่ยังไง ตลาดสุขภาพก็ยังคงมีกำลังซื้อมหาศาลอยู่ดี

2.Trend การดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นมาก growth สูงขึ้นเรื่อยๆ บุคคลสาธารณะให้ความสำคัญกับการดูแลตนเอง ดังนั้น จึงเกิดค่านิยมเลียนแบบเกิดขึ้น

3.การเข้าถึงสื่อ เป็นปัจจัยสำคัญในการค้นหาข้อมูล จึงทำให้ข้อจำกัดด้านการหาข้อมูลสุขภาพลดลง ไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิชาการทางด้านสาธารณสุขเท่านั้นที่จะเป็นผู้ให้ข้อมูล เพียงมี computer ในมือ ก็สามารถเลือกสรรอาหารเสริมให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคได้                                                                                                                                                    


W : จุดอ่อน

1.ปัจจุบันอาหารเสริมมีหลากหลายยี่ห้อ บ้างก็เป็นของเก๊ หรือย้อมแมวขาย โดยเอาเรื่องของการทำธุรกิจมาล่อ ดังนั้น มีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อย ที่ร้องยี้เมื่อพูดถึงอาหารเสริมสุขภาพ เรียกได้ว่า ปลาตายตัวเดียว เหม็นไปทั้งฆ้อง

2.อาหารเสริมมีราคาสูง บางทีคำว่า อาหารเสริม คือ Added Value ซึ่งบวกค่า Commission เข้าไปเยอะเกินราคาต้นทุนจริง ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มเท่านั้นที่มีกำลังซื้อ ซึ่งค่าการตลาดนี้เอง ทำให้ราคาอาหารเสริมที่ไม่แพง (แต่เป็นต้นทุนจริง) ถูกมองว่าเป็นสินค้าด้อยคุณค่า



O : โอกาส

1.ถ้ามองต้นแบบของการดูแลสุขภาพ เช่น ประเทศจีน จะเห็นได้ว่า ตลาดการบริโภคอาหารเสริมของคนไทย เทียบกับจีนไม่ได้แม้แต่น้อย ฉะนั้น ถ้าหากจับกลุ่มผู้บริโภค หรือหาสินค้าได้ตอบโจทย์ ก็มีโอกาสที่จะเป็นผู้นำด้านนี้

2.ความสวยงาม อายุที่ร่วงโรย คือ โอกาสสำคัญ เพราะคนแก่ลงทุกวัน ฉะนั้นอาหารเสริมที่เน้นการซ่อมแซม แล้วคุณภาพดีจริง ผู้ที่มีความชราภาพ ก็เต็มใจที่จะซื้อไปบริโภค


T : ข้อจำกัด

1.นโยบายของรัฐบาล : 30 บาท รักษาทุกโรค ทำให้ประชาชน เดินเข้าไปขอ วิตามินบำรุงสุขภาพจากโรงพยาบาลของรัฐ

2.สิ่งแวดล้อม ภูมิอากาศ : ความแปรปรวนทางธรรมชาติ มีผลโดยตรงต่อการผลิต Raw Material ของสินค้าบางชนิด