ทำธุรกิจร้านฟิตเนสออกกำลังกาย
หลังจากธุรกิจฟิตเนสเข้ามาในไทยเมื่อ 10 กว่าปีก่อนโดย “แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ ” เป็นผู้นำตลาด และตามมาด้วยอีก 2 แบรนด์ใหญ่ คือ ฟิตเนส เฟิรส์ท ที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากอังกฤษ และ “ทรู ฟิตเนส” ที่มีต้นตำหรับอยู่สิงคโปร์
ตลาดฟิตเนสที่ผ่านมาหลังจากมีแบรนด์ใหญ่ๆ เข้ามาเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว ก็เริ่มจะเห็นธุรกิจฟิตเนสแบรนด์เล็กๆ เข้ามาปิดตัวแข่งขันมากขึ้น แต่แล้วหลายแบรนด์ก็ต้องออกไปจากตลาดอย่างเงียบๆ เพราะสู้กับแบรนด์ใหญ่ไม่ไหว ดังนั้น ธุรกิจที่เงินน้อยก็ต้องถอยไปปล่อยให้พวกพี่ใหญ่ที่ทุนหน้าเข้ามาในตลาดนี้แทน แต่ปัจจุบันก็เริ่มเห็นฟิตเนสที่ไม่มีแบรนด์มีเพียงสาขาเดียวเปิดตัวกันมากขึ้น โดยกลยุทธ์ที่ฟิตเนสรายเล็กใช้คือความใกล้บ้านผู้บริโภคมากที่สุด แทนที่จะต้องนั่งรถไปออกกำลังกาย ก็เดินไปออกกำลังกาย ในราคาที่ไม่แพง และมีอุปกรณ์ออกกำลังไม่แตกต่างจากฟิตเนสใหญ่ แต่อาจจะน้อยกว่าเท่านั้นเอง
หากมองกันว่าธุรกิจฟิตเนสช่วงครึ่งปีหลังจะมีทิศทางที่เติบโตไปในทิศทางใด “แพทริค วี” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่งทรูกรุ๊ป หรือทรู ฟิตเนส มองว่า ความต้องการฟิตเนสในเอเชียนั้นถือว่ายังมีอยู่มาก เห็นได้จากตัวเลขของประชากรในเอเชียที่เป็นสมาชิกฟิตเนสต่ำกว่า 2% ขณะที่อเมริกามีถึง 16% ยุโรป 8% ดังนั้น จะเห็นว่าตลาดในเอเชียยังเติบโตได้อีกมาก สำหรับการเติบโตของธุรกิจฟิตเนสในไทยนั้นจากนี้น่าจะเติบโตไปได้เร็ว เนื่องจากการเมืองมีความมั่งคงมากขึ้น
อรวรรณ เกลียวปฎินนท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ฟิตเนส เฟิรส์ท (ประเทศไทย) จำกัด เคยกล่าวไว้ว่า ตลาดฟิตเนสยังโตได้อีก และอยากจะเห็นผู้เล่นรายอื่นๆ เข้ามาเล่นในตลาดอีกด้วย เพื่อให้เกิดการตื่นตัวและการแข่งขัน
เมื่อธุรกิจฟิตเนสยังคงมีช่องว่างการทำตลาดมากมายขนาดนี้ แต่ละแบรนด์จึงต้องหากลยุทธ์เพื่อเข้ามาต่อกลอนซึ่งกันและกัน
โลเกชั่นดี-พท.กว้าง
ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย
ทรู ฟิตเนส ซึ่งนำโดย “แพทริค วี” ปีนี้ก็เตรียมเปิดศูนย์ใหม่ที่เซน แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งทดแทนสาขาเก่าที่ถูกไฟไหม้ไป โดยได้ปรับปรุงพื้นที่เปิดใหม่เป็น 55,000 ตารางเมตร และพร้อมเปิดดำเนินการในเดือนธันวาคมปีนี้ ใช้งบในการลงทุน 150 ล้านบาท เป็นค่าอุปกรณ์ 30 ล้านบาท เครื่องเวชกรรมความงาม 20 ล้านบาท
สำหรับจุดเด่นของทรูฟิตเนส คือ การมีแผนกเวชกรรมความงามอยู่ในฟิตเนส และเครื่องมือที่ใช้ก็เป็นเครื่องที่มีในไทยที่เดียว นอกจากนี้ ขนาดพื้นที่ที่ใหญ่ตั้งแต่ 3,500 ตารางเมตรขึ้นไปทำให้แตกต่างจากคู่แข่งที่มีขนาดเพียง 1,000-1,500 ตารางเมตร
“ขนาดที่ใหญ่ของเราก็เหมือนกับเราเป็นโลตัส คนที่มาโลตัสเพราะเขาต้องการสินค้าและบริการที่หลากหลายกว่าในราคาที่เป็นกันเองกว่าร้านขนาดเล็ก”
นอกจากนี้ ปีหน้าจะขยายศูนย์เพิ่มอีก 1-2 ศูนย์ โดยอยู่ในกรุงเทพฯ 1 สาขา ต่างจังหวัด 1 สาขา เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของคนไทยเปลี่ยนไปจากเดิม นิยมออกจากบ้านกันมาก และสนใจในเรื่องสุขภาพมากขึ้น ดังนั้น การมีศูนย์เวชกรรมความงามอยู่ในฟิตเนสของทรู ฟิตเนสเท่ากับตอบโจทย์ตรงนี้ได้ดี และปัจจุบันแหล่งชอปปิ้งเซ็นเตอร์ทุกแห่งจะต้องมีฟิตเนสเข้าไปให้บริการด้วย
“ปัจจุบันคนไทยมีเงินมากขึ้น และรักษาสุขภาพมากขึ้น เขาไม่สามารถไปวิ่งที่สวนสาธารณะได้ตลอดเวลา และการมาฟิตเนสทำให้เขาได้เพื่อนใหม่ๆ ด้วย ทำให้ปัจจุบันฟิตเนสมีการขยายสาขามากขึ้น แต่ก็ไม่มีคู่แข่งใหม่ๆ เข้ามาทำตลาด เนื่องจากรายย่อยเปิดแล้วก็ต้องปิดตัวไป เพราะฟิตเน็ตแต่ละสาขาใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท”
ส่วนการเข้ามาของแบรนด์ต่างประเทศถือว่ามีน้อยจะเห็นก็มีแค่ฟิตเนสเฟริ์สเท่านั้น อย่างไรก็ดี ฟิตเนสที่มาจากต่างประเทศจะใช้กลยุทธ์การแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก แต่สำหรับทรู ฟิตเนส จะใช้กลยุทธ์การสร้างศูนย์ที่สะดวกสบาย ใหญ่ โลเกชั่นที่ดูดี และการบริการที่มีคุณภาพ รวมทั้งครบวงจร ทั้งสปา คาเฟ่ และความงาม สำหรับการแข่งขันของธุรกิจฟิตเนสในปัจจุบันนั้นไม่ได้แข่งขันกันในเรื่องของราคาอีกต่อไปแล้ว แต่แข่งขันกันเรื่องของบริการ เนื่องจากปัจจุบันคนไทยมีความต้องการฟิตเน็ตที่มีบรรยากาศดี สะอาด เพลิดเพลินกับการมาออกกำลังกาย
ปัจจุบันทรู ฟิตเนส มีสมาชิกทั้งหดม 30,000 คนแบ่เป็นสาขาอโศก 70% สาขารัตนาธิเบต 30% โดยลูกค้า 75-80% มาใช้บริการฟิตเน็ตและโยคะ อีก 20-25% มาใช้บริการด้านความงาม โดยผลการดำเนินการในปีนี้คาดว่าจะโตจากปีก่อน 25% แต่หากเปิดสาขาเซ็นทรัลเวิร์ดแล้วเชื่อว่าปีหน้าผลการดำเนินการน่าจะโต 50% นอกจากนี้ ตั้งเป้าว่าจะเพิ่มจำนวนสมาชิกให้เพิ่มอีก 20%
นอกจากนี้ มีการจับมือกับเมเจอร์ในการเข้าไปเปิดทรู ฟิตเนส ในเมเจอร์ซึ่งจะเปิดแต่สาขาใหม่ๆ ของเมเจอร์เท่านั้นจะไม่เข้าไปเปิดแข่งกับฟิตเนสที่เปิดอยู่ในเมเจอร์สาขาเก่า สำหรับมาร์เก็ตแชร์ที่ทรูฟิตเน็ตมีอยู่คือ 20-25% โดยนับจากจำนวนสมาชิก ซึ่งถือเป็นอับดับสองของตลาด เนื่องจากแคลิฟอร์เนียเข้ามาในไทยไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้วทำให้มาร์เก็ตแชร์มากกว่า
ปัจจุบัน ทรู ฟิตเนส มีศูนย์ 30 ศูนย์ใน 5 ประเทศ ซึ่งการขยายสาขาฟิตเนสทุกสาขาเป็นการขยายด้วยตนเองไม่ได้มีหุ้นส่วนในการขยาย โดยทรู ฟิตเนส มีมาร์เก็ตแชร์เป็นอับดับ 1 ของตลาดในเอเชีย และจะครองอันดับหนึ่งนี้ต่อไปให้ได้
ปีนี้ ทรู ฟิตเนส มีแผนที่จะเปิดสาขาในประเทศจีน โดยสาขาแรกจะเปิดปลายปีนี้ แม้ว่าที่ผ่านมา ฟิตเนส เฟิรส์ทซึ่งทำธุรกิจในจีนมา 10 ปีจะต้องถอนตัวจากธุรกิจในประเทศจีนก็ตาม แต่สำหรับทรูฟิตเนสแล้วเชื่อว่าการทำตลาดนี้ไม่น่าจะยาก เนื่องจากตนเองพูดภาษาจีนได้ และเข้าใจวัฒนธรรมของคนจีนเป็นอย่างดี ที่สำคัญมีประสบการณ์ในการบริหารงานที่ไต้หวันทำให้เข้าใจการทำตลาดของคนจีนเป็นอย่างดี อย่างไรก็ดี คาดว่าจะขยายสาขาในประเทศจีนให้ได้ 5 สาขา
เชื่อกลยุทธ์ราคา ยังครองใจลูกค้า
มาดูกันที่ผู้นำตลาดอย่าง แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ ที่วันนี้กระแสข่าวดรอปลงไปมาก หลังจากมีปัญหาเรื่องการเงินซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่า งการปรับปรุงฐานะการเงินและการดำเนินงาน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงยังคงเครื่องหมาย “SP” (Suspension) เพื่อสั่งห้ามการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัทต่อไป
การที่แคลิฟอร์เนีย ว้าว เกิดปัญหาดังกล่าวเป็นผลต่อเนื่องจากการใช้กลยุทธ์ราคามากเกินไป อย่าง การเป็นสมาชิกตลอดชีพในราคา 12,000 บาท ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ทุกวันนี้แคลิฟอร์เนีย ว้าว ต้องติดกับวังวนกลยุทธ์ของตัวเอง และการขายสินค้าที่ดุดันและบุกลูกค้ามากเกินไปทำให้ที่ผ่านมาถูกต่อว่าต่อขานผ่านทางอินเตอร์เน็ทจำนวนมาก จากการสำรวจของผู้สื่อข่าวก็ยังคงเห็นแคลิฟอร์เนีย ว้าว ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวต่อไป คงเป็นเพราะเห็นว่ายังได้ใจลูกค้ากลับมาอยู่ดี
แม้ว่าปัญหาต่างๆ จะรุมเร้าแคลิฟอร์เนีย ว้าว อย่างไรก็ตาม แต่แคลิฟอร์เนีย ว้าว ก็ก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของตลาดได้ด้วยจำนวนสมาชิกที่มากที่สุด จากตัวเลขปีที่ผ่านมาแคลิฟอร์เนีย ว้าว มีสมาชิกทั้งหมด 170,000 คน และฟิตเนสคลับทั้งหมด 10 สาขาในเมืองไทย
แต่การขยายสาขาในเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับ แคลิฟอร์เนีย ว้าว ไปซะแล้ว เพราะเร็วๆนี้ เจ้าพ่อเมเจอร์เปิดทางให้ฟิตเนสรายอื่นๆ เข้ามาเปิดสาขาแทน
เดินหน้าขยายสาขา ปรับสาขาเก่าทั้งหมด ฟิตเนส เฟิรส์ท ซึ่งนำโดย “มาร์ค บูคานันท์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิตเนส เฟิรส์ท (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารฟิตเนส เฟิรส์ท ได้วางกลยุทธ์สำหรับการทำตลาดในปีนี้และปีหน้าด้วยการขยายสาขาเพิ่ม 3 แห่ง ที่เซ็นทรัล ขอนแก่น เซ็นทรัลพระราม 9 ส่วนปีหน้าจะขยายสาขาที่เมกะ บางนา ซึ่งทั้ง 3 สาขาใช้งบประมาณ 285 ล้านบาท พร้อมทุ่มงบอีก 100 ล้านบาทในการปรับปรุงสาขาเดิมทั้ง 18 สาขาให้ทันสมัย
การที่ฟิตเนส เฟิรส์ท รุกขยายสาขาให้มากนั้น คงเป็นเพราะต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าแบบทุกมุมเมือง เพราะฟิตเนส เฟิรส์ท เป็นแบรนด์เดียวที่มีการขยายตัวทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมากที่สุด
หากมองกันที่จำนวนสาขาแล้วถือว่าฟิตเนส เฟิรส์ท เป็นผู้นำคู่แข่งแบรนด์อื่นๆ แต่มองที่จำนวนสมาชิกแล้วยังถือว่าเป็นรอง เพราะมีเพียง 55,000 รายเท่านั้นเอง จะเห็นว่าทุกวันนี้ธุรกิจฟิตเนส ยังคงแข่งขันกันอย่างรุนแรง เพราะไลฟ์สไตล์ของคนไทยที่เปลี่ยนไป และเชื่อว่าจากนี้จะเติบโตไปจากนี้อย่างต่อเนื่อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น